10 ขั้นตอนในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ

10 ขั้นตอนในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ

 

a530cb80eda5804f442ecc8fef935cc0

ปัญหาที่เกิดขี้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะมีตั้งแต่เล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงความบกพร่องอย่างร้ายแรงที่จะทำให้งานของเราที่อุตส่าห์ทำเป็นเดือนๆ หายไปได้ในพริบตา หรือไม่สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์นั้นได้อีกเลย วิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์นั้นก็คือ ป้องกันก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
ขั้นตอนใน การป้องกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการเก็บข้อมูลความสำคัญมากๆ ในเรื่องของการเก็บข้อมูล คือ ไม่ให้มีอุบัติเหตุซึ่งจะทำให้มันมีค่าที่สุด ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่เป็นอุปกรณ์ที่แพงที่สุดในเครื่องของเราก็ตามเป้า หมายของการป้องกันคือ เก็บข้อมูลของเราให้ปลอดภัย มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

  • รู้จักเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง
  • สร้างแผ่นบู๊ตฉุกเฉินขึ้นมา
  • ปรับแต่งฮาร์ดดิสก์อย่างสม่ำเสมอ
  • วางแผนในการเก็บรักษา
  • สำรองข้อมูลที่มีค่าเอาไว้
  • ป้องกันไวรัส
  • ติดตั้งโปรแกรมไว้ที่เดิม
  • ใช้แต่ของใหม่เสมอ
  • รักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • ปิดเครื่องด้วยวิธีการที่ถูกวิธี

1.รู้จักเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง 
เราสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องของเราว่าอุปกรณ์อะไร รายละเอียดเป็นอย่างไร ได้ โดยดูที่ System Properties โดยคลิ๊กเม้าปุ่มขวาที่ My computer เลือก 1. Properties จะปรากฏ System Propeties ขึ้นมา ให้เราคลิ๊กที่ Tab Device Manager เราสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ภายในเครื่องของเราได้ ถ้าเรามีเครื่องพิมพ์ ก็สั่งพิมพ์มาเก็บไว้เลยจะเป็นการดีที่สุดป้องกันการลืม

2.สร้างแผ่นบู๊ตฉุกเฉินขึ้นมา

เมื่อเราเครื่องของเรามีปัญหาไม่สามารถบู๊ตเครื่องจากฮาร์ดดิสก์ได้ เราก็ยังจะสามารถบู๊ตจากแผ่นบู๊ตฉุกเฉินที่เราสร้างขึ้นเอาไว้ได้ โดยไปที่

1. เลือกเมนู Start

2. เลือก Setting

3. เลือก Control Panel

4. กดดับเบิ้ลคลิ๊กไอคอน Add remove programs

5. ให้เลือกคลิ๊กที่ Tab Startup Disk แล้วใส่ แผ่น floppy disk ที่ทำการ format แล้วใน dirve a:

6. แล้วคลิ๊กที่ปุ่ม Create Disk หลังจากเครื่องทำการสร้างแผ่นบูตเสร็จเรียบร้อย เราก็จะได้แผ่นบู๊ตฉุกเฉินขึ้นมาแล้ว

3. ปรับแต่งฮาร์ดดิสก์อย่างสม่ำเสมอ

เพราะฮาร์ดดิสก์เป็นที่ที่เก็บแอปพิลเคชั่นไว้อย่างถาวร และที่สำคัญมากคือไฟล์ข้อมูลที่สร้างด้วยแอพพลิเคชั่นเหล่านั้น

ดัง นั้นฮาร์ดดิสก์จึงจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างพิเศษเพื่อรักษามันให้ปฏิบัตการ ได้ที่ประสิทธิภาพสูงสุด การสแกนดิสก์ เพื่อหาไฟล์ที่สูญหาย (Lost) และเซ็กเตอร์ที่เสียหาย (bad sector) จะช่วยป้องกันปัญหาของดิสก์ทั้งหมดก่อน ที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่การ Defragment จะช่วยจัดเรียงไฟล์ที่แตกกระจัดกระจาย ให้เป็นระเบียบขึ้น

วิธีการสแกนดิสก์ทำได้ดังนี้

1. เลือกเมนู Start

2. เลือก Program

3. เลือก Accesorry

4. เลือก System Tools

5. เลือก Scan Disk

4. วางแผนในการเก็บรักษา

การเก็บรักษาไฟล์ข้อมูลในโฟล์เดอร์เราจะต้องเก็บรักษาให้อยู่ในส่วนที่ค้นหา ง่ายและมีชื่อที่สามารถจดจำได้ง่าย จะช่วยลดความเสี่ยงที่เราจะลบโปรแกรมหรือข้อมูลเหล่านั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ อีกทั้งฮาร์ดดิสก์ที่มีการบริหารรวบรวมที่ดีจะสามารถทำ การแบ๊กอัปสำรองข้อมูลได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า และไฟล์ไหนที่เราไม่ได้ใช้เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน ควรจะลบไฟล์นั้นออกไป เพราะ ดิสก์ที่ใส่ข้อมูลมากๆ จนเกือบเต็มความจุของมันมักมีแนวโน้มที่จะเกิดความผิดพลาดได้มากกว่า และช้ากว่าฮาร์ดดิสก์ที่ไม่ได้ใส่ข้อมูลจนแน่น

5. สำรองข้อมูลที่มีค่าเอาไว้

การแบ็กอัปไฟล์ของเรามีความหมายง่ายๆ ก็คือเป็นการทำสำเนาเผื่อเอาไว้ ถ้าต้นฉบับถูกทำให้สูญหายหรือเสียหายไป เราก็ยังสามารถนำเอาสำเนามาใช้ได้ เราสามารถแบ็กอัปฮาร์ดดิสก์ไปยัง Floppy disk หรือ Zip disk ได้ ถ้าเราทำธุรกิจมีข้อมูลที่สำคัญมากๆ เช่น ข้อมูลของสินค้า ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลด้านบัญชี

มูล บุคคล เราควรจะแบ๊กอัปมันทุกๆวันเป็นมาตรฐานเอาไว้ แต่ถ้าเราเป้นผู้ใช้ตามบ้าน ก็ควรจะการแบ็กอัปไฟล์หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ และทำการแบ๊กอัป ทั้งระบบอย่างสมบูรณ์ทุกๆ 6 เดือน โดยเราสามารถใช้โปรแกรม Backup ดังนี้

1. เลือกเมนู Start

2. เลือก Program

3. เลือก Accesorry

4. เลือก System Tools

5. เลือก Backup

โปรแกรมนี้จะอนุญาติให้เราตรวจเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการจะแบ๊กอัป

6. ป้องกันไวรัส

แม้ว่าไวรัสคอมพิวเตอร์ที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเครื่องและข้อมูลของเรา ได้ ซึ่งในบางครั้งก็ดูออกจะเป็นเรื่องตื่นตระหนกจนเกินเหตุ แต่ความเป็นจริงแล้วไวรัสไม่สามารถที่จะทำอันตรายให้กับเครื่องและข้อมูลของ เราได้ ถ้าหากเราไม่ได้สั่งให้มันทำงาน (execute) ไวรัสนั้นติดมาได้ 2 ทาง คือ

1. จากแผ่นดิสก์อื่นที่เรานำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นที่เรายืมหรือก๊อปปี้ของเพื่อนมา หรือ แผ่นcd เถื่อนที่เราซื้อมาจากพันธุ์ทิพย์

2. จากอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมที่เราดาว์นโหลดมา หรือ ไวรัสที่ส่งมากับอีเมล์ วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือเราต้องไม่นำมาใช้ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้เราหาโปรแกรมสำหรับสแกนไวรัสมาสแกนไวรัสก่อนที่จะนำมาใช้ ยกตัวอย่างเช่น McAfee”s VirusScan Norton AntinVirus หรือ Pc-cillin

แต่ ในบางครั้งไวรัสตัวนั้นอาจเป็นไวรัสชนิดใหม่ที่โปรแกรมเหล่านั้นยังไม่ สามารถตรวจสอบได้ เราก็จำเป็นต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมสแกนไวรัสเวอร์ชั่นใหม่ ๆ มาใช้งานจากเวบไซด์เหล่านั้น

7. ติดตั้งโปรแกรมไว้ที่เดิม

เมื่อเราได้ติดตั้งโปรแกรมลงบนระบบของ window95 แล้วอย่าได้เปลี่ยนชื่อไดเร็กทอรี่ของโปรแกรมหรืออย่าได้ย้ายไฟล์ของมันจาก ที่ที่มันอยู่ไปไว้ที่อื่นๆ บนฮาร์ดดิสก์ของเรา มิฉะนั้นคอมพิวเตอร์จะหาแทร็กของคีย์ไฟล์ไม่เจอ ถ้าเราจะทำการลบ (delete) หรือยกเลิกการติดตั้ง (uninstall)

วิธีการลบ (delete) หรือยกเลิกการติดตั้งที่ถูกวิธีทำได้ดังนี้

1. เลือกเมนู Start

2. เลือก Control Panel

3. กดดับเบิ้ลคลิ๊กที่ Add/Remove Programs

4. เลือกโปรแกรมที่เราต้องการจะลบ หรือ ยกเลิกการติดตั้ง

5. กดปุ่ม Add/Remove

หลัง จากกดปุ่ม Add/Remove แล้วจะปรากฏหน้าต่างการยกเลิกการติดตั้งให้ แต่มีบางไฟล์หรือบางกรณีที่จะต้อง ใช้คำสั่งลบออกได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องผ่านการลบด้วยกรรมวิธีขั้นต้น สามารถเข้าไปลบไฟล์เหล่านั้นได้เลย

8. ใช้แต่ของใหม่เสมอ

อุปกรณ์ ต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์จะมีโปรแกรมไดว์เวอร์ (driver) เพื่อพูดคุยติดต่อระหว่าง window95 กับ ฮาร์ดแวร์ของเรา จะเป็นการดีถ้าเราสามารถอัปเดตโปรแกรมไดว์เวอร์เหล่านั้นให้ทันสมัยอยู่ตลอด เวลา เพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป

9. รักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สะอาดอยู่เสมอ

ฝุ่นสามารถทำให้ชิปภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราร้อนขึ้นมามากกว่าธรรมดาและยัง เป็นตัวขัดขวางการไหลเวียนระบายความร้อนของอากาศอีกด้วย อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งให้เราถอดปลั๊กต่างๆ และเปิดฝาเครื่องขึ้นมา และเป่าฝุ่นออก อย่าเช็ดด้วยเศษผ้า ให้ใช้ปากเป่าหรือกระป๋องอัดลมสำหรับฉีดลมอย่างใดอย่างหนึ่งในการเป่าฝุ่น

10. ปิดเครื่องด้วยวิธีการที่ถูกต้อง

เมื่อใดก็ตามที่เสร็จการทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วจะเลิกการใช้งานเครื่อง คอมพิวเตอร์ อย่าได้ปิดเครื่องเลยทันที เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์มีการเก็บหน่วนความจำแคช ปิดไฟล์ และ เซฟข้อมูลคอนฟิกคูเรชั่นต่างๆ ก่อนที่เราจะปิดเครื่อง

เรา จำเป็นต้องต้องสั่งให้คอมพิวเตอร์ของเราชัตดาวน์ (shutdown) ก่อนเสมอ โดยไปที่ Start –> Shutdown แล้วกด OK เท่านี้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราก็จะจบการทำงานได้อย่างสวยงาม

5 วิธีป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์แบบง่าย ๆ

5 วิธีป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์แบบง่าย ๆ

 

images (1) ไวรัสสำหรับคอมพิวเตอร์ ก็คล้าย ๆ กับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคหวัดของเรานั่นแหละ นอกจากจะทำร้ายคอมพิวเตอร์ของเรา ยังอาจลุกลามไปถึงเครื่องคนอื่นได้ โดยเฉพาะในออฟฟิศหรือสำนักงาน มาป้องกันไวรัสด้วยวิธีง่าย ๆ นี้ดีกว่า

อย่า เปิดอ่านอีเมลแปลก ๆ เวลาที่คุณเช็กอีเมล ถ้าเผอิญเจออีเมล์ชื่อแปลก ที่ไม่รู้จักให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าต้องมีไวรัสแน่นอน แม้ว่าชื่อหัวข้ออีเมลจะดูเป็นมิตรแค่ไหน ก็อย่าเผลอกดเข้าไปเด็ดขาดล่ะ

ใช้ โปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัส (Anti-virus) ต้องยอมรับว่า ไม่มีโปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัสโปรแกรมใดสมบูรณ์แบบ จะต้องอัพเดตโปรแกรมที่ใช้ตรวจจับและกำจัดไวรัสอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ครอบ คลุมถึงไวรัสชนิดใหม่ ๆ

อย่าโหลดเกมมากเกินไป เกมคอมพิวเตอร์จากเว็บไซต์ต่าง ๆ อาจมีไวรัสซ่อนอยู่ ไม่ควรโหลดมาเล่นมากเกินไป และควรโหลดจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เท่านั้น บางทีเว็บไซต์จะมีเครื่องหมายบอกว่า “No virus หรือ Anti virus” อยู่แบบนี้ถึงจะไว้ใจได้

สแกน ไฟล์ต่าง ๆ ทุกครั้งก่อนดาวน์โหลดไฟล์ทุกประเภท ควรทำการสแกนไฟล์ รวมทั้งข้อมูลจากภายนอกก่อนเข้ามาใช้ในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น CD, Diskette หรือ Handydrive ต้องใช้โปรแกรมค้นหาไวรัสเสียก่อน

หมั่นตรวจสอบระบบ ต่าง ๆ ควรตรวจสอบระบบต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอ เช่น หน่วยความจำ, การติดตั้งโปรแกรมใหม่ ๆ ลงไป, อาการแฮงค์ (Hang) ของเครื่องเกิดจากสาเหตุใด บ่อยครั้งหรือไม่ ซึ่งคุณอาจจะต้องติดตั้งโปรแกรมพวกบริการ (Utilities) ต่าง ๆ เพิ่มเติมในเครื่องด้วย

 รู้ได้อย่างไรว่าคอมพิวเตอร์ติดไวรัสแล้ว

1. การทำงานของคอมพิวเตอร์ช้าลงกว่าปกติ

2. คอมพิวเตอร์หยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ

3. อยู่ดี ๆ ข้อมูลบางอย่างก็หายไป

4. ตัวเครื่อง Restart เองโดยไม่ได้สั่ง

5. แป้นพิมพ์ทำงานปกติหรือไม่ทำงานเลย

10 วิธีง่ายๆ ในการดูแล รักษา คอมพิวเตอร์ของคุณ

มาว่ากันด้วยวิธีการดูแลรักษาคอมพิวเตอร์ง่ายๆ 10 วิธีดังนี้

033

1.ทำความสะอาดคอมพิวเตอร์บ้าง : วิธีการทำความสะอาดคอมพิวเตอร์นั้นไม่ยากอย่างที่เราคิดครับ แต่ก็ต้องทำให้ถูกหลักด้วยนะครับ เริ่มจากการถอดปลั๊กไฟก่อน และทำความสะอาดโดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเปล่า หรือน้ำยาทำความสะอาดคอมพิวเตอร์ เช็ดส่วนต่างๆที่เป็นตัวเครื่องหรือกรอบหน้าจอ เมาส์ คีย์บอร์ด รวมถึงสายไฟคอมพิวเตอร์

2.เป่าฝุ่นหรือกำจัดฝุ่นที่อยู่บนตัวเครื่อง : สำหรับวิธีนี้แนะนำให้ใช้แปลงทาสีที่มีขนอ่อนๆ อาจจะเป็นแปรงด้ามไม้ไผ่หาซื้อได้ตามร้านวัสดุก่อสร้างครับ เพราะหน้าจอหรือตัวเครื่องบางรุ่น หากใช้แปรงที่มีขนหนาอาจทำให้เป็นรอยได้ อย่าลืมใส่ผ้าปิดจมูกก่อนทำความสะอาดนะครับถ้าใครมีเครื่องเป่าฝุ่นหรือเป่าลม สามารถเป่าเครื่องได้นะครับเพื่อไล่ฝุ่นออกจากคอมพิวเตอร์

3.ตรวจเช็คความเรียบร้อยภายในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ : วิธีนี้อาจยุ่งยากหน่อยสำหรับผู้ที่ไม่ถนัดในด้านการช่างครับ เพราะต้องทำการเปิดฝาเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยจะต้องไขน็อตที่ล็อกฝาข้างอยู่ ควรตรวจเช็คพัดลมระบายความร้อนและสายไฟที่อยู่ภายในครับว่ายังอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีอยู่หรือเปล่าเพราะความร้อนก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คอมพิวเตอร์เสียได้เพราะอุปกรณ์สึกหรอ

4.จัดวางคอมพิวเตอร์ให้ถูกหลัก : สำหรับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ การจัดวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ควรวางให้ห่างจากกำแพง หรือมีช่องว่างด้านหลังจอประมาณ 1 ไม้บรรทัด ครับเพราะความร้อนที่กระจายออกมาจะได้มีการระบายที่โล่งและไม่เกิดอุณหภูมิสูง รวมถึงตัวเคสคอมพิวเตอร์ก็ควรตั้งในที่มีช่องระบายความร้อนให้ลมสามารถพัดเข้า-ออกได้  ผู้ที่ใช้โน้ตบุ้คก็เช่นเดียวกันครับ ควรยกระดับด้านล่างของโน้ตบุ้คให้มีช่องว่างระบายอากาศด้านล่างด้วย เนื่องจากโน้ตบุ้คจะมีความร้อนที่สูงกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไป แนะนำให้หาพัดลมตัวเล็กๆ หรือพัดลมตั้งพื้นเป่าจะแน่นอนสุดครับ เย็นทั้งคนและเครื่อง

5.เข้าศูนย์หรือร้านซ่อมคอมใกล้บ้าน : วิธีนี้สำหรับคนที่ไม่สะดวกในการจัดการคอมพิวเตอร์ก็ต้องฝากให้เป็นงานของช่างคอมพิวเตอร์ช่วยตรวจสอบกันว่าอุปกรณ์ต่างๆยังอยู่ในสภาพดีไหม ก่อนตรวจเช็คสอบถามราคาในการดำเนินการก่อนนะครับ ^^

6.จัดการไฟล์ที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่สำคัญ : ไฟล์ต่างๆที่เราดาวน์โหลดมาหรือเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์หากไม่ได้ใช้งานแล้ว หรือไม่สำคัญก็ควรลบทิ้งจากเครื่องคอมพิวเตอร์ครับ เพราะจะทำให้ไม่หนักเครื่องในส่วนของหน่วยความจำ จะได้พร้อมและมีทีว่างรับข้อมูลใหม่

7.จัดระเบียบโฟลเดอร์ต่างๆ : ในส่วนนี้จะช่วยประหยัดทั้งเวลาและช่วยในเรื่องการทำงานของเราได้เลยครับเพราะหากเราจัดการไฟล์และโฟลเดอร์ต่างๆให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เวลาที่หาไฟล์ต่างๆก็จะสะดวกมากขึ้น เครื่องก็จะทำงานไม่หนักครับ

8.กำจัดและสแกนไวรัสในคอมพิวเตอร์ : วิธีนี้อาจต้องใช้เวลาหน่อยครับเพราะแน่นอนว่าสำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์มานานข้อมูลต่างๆรูปภาพไฟล์เพลง งานต่างๆมากมายที่อยู่ในเครื่องมาจากหลากหลายที่ ทำให้มีไวรัสแฝงตัวอยู่ในโฟลเดอร์ต่างทั้งที่เราไม่รู้บ้าง ยิ่งข้อมูลมากยิ่งใช้เวลาสแกนนานมากขึ้น ลองหาโปรแกรมสแกนไวรัสสักตัวอย่างเช่น nod32 เพื่อให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่มีปัญหาครับ

computer-care7

9.ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งานทิ้ง : หากเรารู้ว่าโปรแกรมไหนที่เราไม่ได้ใช้งานแล้ว หรือเกมส์ต่างๆที่เราลงไว้ในคอมพิวเตอร์ไม่ได้เล่นเราควรจะลบออกครับเช่นเดียวกับโฟลเดอร์และไฟล์ เพราะจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราไม่ทำงานหนักที่ต้องเตรียมโปรแกรมต่างๆคอยเสิร์ฟเวลาที่เราจะใช้งาน

10.หมั่นหาวิธีหรือการใช้งานที่ถูกต้อง : จริงๆแล้ววิธีนี้ก็คือการใช้งานคอมพิวเตอร์ให้ถูกต้องตามพื้นฐานครับ เพราะถ้าเราไม่รู้หลักในการใช้งานแล้ว ตั้งแต่ข้อ 9 จนถึง 1 ที่กล่าวมาก็อาจทำให้เราละเลยในการดูแลรักษาคอมพิวเตอร์จากการใช้งานที่ไม่ถูกต้องได้ ไม่ยากครับเพียงแค่เราคอยเอาใจใส่ทั้งตัวเราและคอมพิวเตอร์ ต้องเริ่มจากตัวเราก่อนครับเพราะถ้าเราไม่ดูแลสุขภาพตัวเราก่อน เวลาที่เราจะดูแลคอมพิวเตอร์ก็จะมีน้อยลงครับ

 

1587

 

อย่าลืมนะครับวิธีการดูแลคอมพิวเตอร์ไม่ยากอย่างที่เราคิดจริงๆ มีมากมายหลายวิธีแต่ที่เรียบเรียงให้นี้ เป็นวิธีหลักๆในการดูแลคอมพิวเตอร์ครับ